วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เที่ยวเกาหลีคนเดียวมันไม่สนุกหรอก....แต่มันมีความสุขมากกกกกกกก :)

คนเรามีสองประเภท

หนึ่งคือคนที่ชอบทำอะไรเป็นหมู่เป็นพวก ไม่ชอบไปไหนคนเดียว ต้องมีเพื่อนสิ ไม่งั้นจะสนุกเหรอ

และสองคือพวกที่ชอบทำอะไรคนเดียว ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องรอ ไม่วุ่นวาย ไม่ต้องคอยเกรงใจใคร

และเราก็คือ..............ประเภทไหนไม่รู้ 555

จนกระทั้งวันนึง Airasia ได้จักโปรโมชั่น ไปกลับเกาหลีพร้อมที่พักในราคาที่โคตรจะถูก (ประมาณ 6000+)

แม่งงงงงงงงงง ถูกกว่าค่าเครื่องที่กูไปสิงคโปอีก แต่นี้ไปเกาหลีเลยนะ!!!!

ช้าอยู่ใย รีบจองตั๋ว ถึงเงินจะไม่มี แต่โอกาศดีๆมันไม่มาง่ายๆ เราก็เลยรีบจองไปล่วงหน้า1เดือน และแล้วก็ถึงวันเดินทาง

ก่อนหน้านั้นทำการบ้านหนักมากกก เพราะเป็นการไปเที่ยวคนเดียวครั้งแรก กระทู้ในพันทิพย์นี้อ่านมาหมด แต่เดี๋ยวนะ!  ทำไมไม่เห็นมีคนไปเที่ยวคนเดียวเลยละ  ชิบหายละกู นี้เป็นผู้หญิงด้วย(กลัวเหงาหนะจริงๆ555+) แต่มีกระทูั้นึงบอกว่าไปคนเดียว นั่งอ่านไป สรุปลงเครื่อง นัดเจอคนไทยที่นัดกันในเน็ต อ้าว!! ซะงั้น คนเดียวตรงไหนคะ


เวลาเราทำอะไรเป็นครั้งแรกจะต้องกลัวเสมอ อย่างครั้งนี้เราเดินทางคนเดียว ไปที่ไกลๆคนเดียว แผ่นดินโอปป้าที่เขาว่ากันว่าไม่พูดภาษาอังกฤษเลย เฮ้อ ในใจนี้ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว แต่มันกลับเป็นความรู้สึกกลัวๆในเชิงบวกแหะ

พอถึงวันเดินทาง เราเดินทางไฟท์ XJ700 DMK-ICN Departure time 0155  ไอ่เราทำงานตั้งแต่6โมงเช้า จะเลิกก็สี่โมง เลิกงานกลับมาว่าจะนอนก็ไม่ได้นอน เพราะตื่นเต้นเกิ้น  555 กะจะไปกลับบนเครื่อง เคราะซ้ำกรรมซัด เนื่องจากเป็นเครื่อง Airbus 330-300 แถวที่นั่งมันเลยเป็น 3-3-3 เราได้นั่งตรงกลาง มีโอปป้าตัวควายๆขนาบข้างสองคน  ความรู้สึกที่เขาบอกว่าโดนบีบเหมือนอะไรก็ไม่สามารถบรรยายได้แล้ว ณ ตอนนั้น


แต่โชคดีที่ไฟท์ว่าง เราเลยย้ายไปนั่งคนเดียวทั้งแถว นอนสบายๆ ถึงกำลังจะถึงอินชอน  ชิบหาย ทำไมใส่เสื้อกันหนาวจัดเต็มกันวะ นี้เพื่อนบอกว่า มึง ช่วงเดือนพฤษภาคม คาดิเกนตัวเดียวก็อยู่ ...ไอ่กุก้อเชื่อไง เฮ้อ พอลงจากเครื่อง อุณหภูมิภาคพื้นประมาณ 16 องศา หนาวดิสัส เป็นคนขี้หนาวด้วย อากาศดีนะ แดดแรง เหมือนหน้าหนาวเหมือนไทย เลยต้องหาซื้อเสื้อคลุมสักตัวไว้กันหนาว จากนั้นก็นั่งรถไฟฟ้าจากสนามบินไปลงที่สนานีฮงอิค ประมาณ 4000 วอน เพราะถูกสุดละ ฮ่าๆๆ ส่วนรถบัสจะแพงสุด ไอ่เราอยากประหยัด ของไม่เยอะด้วย ก็เลยเลือกรถไฟฟ้า


อ๋อ เรื่องตม ที่เขาร่ำลือกันว่าโหด แม่งก็โหดจริงๆแหละ คนไทยนี้โดนเรียกเข้าห้องคนเว้นคนเลย แต่ดูก็รู้ละ ว่าคนนี้มึงไม่รอดแน่ๆ โดนแน่ๆ 5555  จากที่สังเกตจะมีทั้งหญิงและชายนะ น่าจะมีสองประเภทคือ เขากลัวจะไปขายบริการกับใช้แรงงานต่างด้าวแหละ
พอถึงคิวเรา นางก็ไม่ถามอะไร ปั๊ง !! สแตมป์ตราเรียบร้อย ในใจคิดว่า เอ้อรอดแล้วกู แต่อยู่ดีๆนางก็นิ่งสักพัก แล้วก็ถามว่า มาคนเดียวเหรอ มาครั้งแรกเหรอ มีเพื่อนไหม เราก็บอกไม่มี นางก็คงคิดอยู่สักพักว่าให้อีอิกะเหรี่ยงนี้ผ่านดีไหมวะ สแตมป์ไปแล้วด้วย 55555 แต่สุดท้ายนางก็ปล่อยเราไป


ก็เดินตุเลงๆ ออกจากสถานีรถไฟฟ้าทางออก1 แล้วก้เดินตามแผนทีที่ทางโฮสเทลเค้าให้มา  (หลายคนไม่รู้จักว่า Hostel เป็นยังไง คือมันเป็นห้องพักแบบหอพัก นอนรวมกัน มทั้งห้องแบบ 2เตียง 4เตียง แล้วก็8 เตียง ห้องน้ำรวม) ซึ่งไม่ไกลมาก แต่ดูในแผนที่แม่งไกลสัส  เราพักที่ Four season house มันจะเดินได้จากทั้งสถานีฮงอิคและฮับจอง (แต่เราว่าฮับจองใกล้กว่า) เช็คอินเรียบร้อย  ได้ห้อง8 เตียง เปิดเข้าไป อือฮือ กลิ่นเหล้าหึ่ง ตอนนั้นคือประมาณเที่ยง แต่ก็ยังมีคนนอนกันอยู่ โอเคเราไม่ซีเรียส

 สักพัก คุณลิม เดินมาบอกว่า ยูจองห้อง4เตียงใช่ไหม แต่ไม่มีนะ ขอโทษจริง ไอ้เราก็คิดว่าอ้าวนี้กูจองสี่ไปเหรอ ไม่รู้วววววว  ก็เลยบอกไม่เป็นไร โอเคๆ เราไงก็ได้ เค้าก็ซอรี่นะๆๆ

เก็บข้าวของสักพัก ทุกอย่างโอเคเลย ห้องพักสะอาด ห้องน้ำสะอาด ไม่เหมือนโฮสเทลชื่อดังที่ไปพักที่สิงคโปร์ แต่ห้องน้ำข้างบนห้ามขี้นะ ย้ำ!! ห้ามขี้ ส้วมมันชอบตัน 5555 เขาย้ำกับเราประมาณสองสามรอบ

จากนั้นเราเลยเดินไปถามเขายว่า งี้เราจองสี่เตียง แต่ได้หกเตียง คือไม่มีวันไหนที่สี่เตียงจะว่างเลยเหรอ หน้าเราประติก็ดูเป็นคนหาเรื่องนิสๆ  เขาก็ดูกังวลๆ เลยตัดสินใจให้เราย้ายไปห้องที่มี 2 เตียง 5555เสร็จโจร

แต่ผนังห้องที่นี้ค่อนข้างบางนะ คือห้องข้างๆเป็นคนจีน กลับมาดึกๆคุยกันก็ได้ยิน หรือชั้นบนเวลาเดินแรงๆก้ได้ยิน เหมือนมันไม่ได้เป็นอิฐแบบบ้านเรา แต่เราเหนื่อยอะ อยู่ไหนก็นอนได้ละ ร จุดนั้น แต่โดยรวมโอเคเลย ถ้าให้กลับไปพักก็กลับไปอีก


หลังจากนั้นก็มีปัญหากับที่ชาร์ต คือแบตก็จะหมด ที่ชาร์ตแม่งก็หลวม หอยหลอด ที่ชาร์ตแบบนี้แม่งอย่าได้ไปซื้อมาเชียว กากตด เราเลยไปซื้อเทปใสที่ร้านไดโซะ มาติดแม่ง แบบนี้


มีลูกบอกลูกมีหลานบอกหลาย อย่าไปซื้อมาเด็ดขาด แม่งอยากจะหาที่อยู่บริษัทแล้วบอกมึงเลิกผลิตไปเถอะ 



จากนั้นเราก็ออกไปข้างนอกกันดีกว่า อย่างที่บอกว่าอากาศกำลังดีมาก เลยตัดสินใจไป Bokchun Hanok village มั้ง ถ้าจำชื่อไม่ผิด 5555 ไปที่สถานี Anguk station ทางออกสอง


ไม่ต้องกลัวหลงเลย เพราะจะมี tourist information อยู่ใกล้ๆ หรือไม่ก็คอยมองหาคนที่ใส่เสื้อกัํกแดงกับหมวกคาวบอยสีแดง คล้ายๆคนยืนแจกใบปลิวโฆษณา แต่เปล่าเลย เขาคืออาสาสมัครที่คอยแจกแผนที่แล้วก็แนะนำนักท่องเที่ยว ซึ่งถ้าสงสัยอะไรก็เข้าไปถามได้เลย



เราชอบเกาหลีตรงที่คนไม่เยอะ (หรือเยอะแต่ไม่รู้) ไม่แออัดเหมือนอย่างกรุงเทพ ที่ต้องเบียดเสียดกัน มีห้องน้ำทุกสถานีรถไฟฟ้า ยิ่งกว่านั้นในห้องน้ำยังมีปลั๊กไฟอีกด้วย (คือปลั๊กไฟนี้อยู่ตรงโถส้วมเลยนะ)



คาดว่าคนที่นี้กินกาแฟกันแทนน้ำ เพราะร้านกาแฟเยอะมากกกกกกกกกก














นี้ก็ร้านกาแฟจย้าาาา 




เราชอบเกาหลีตรงที่มันเป็นเขา แล้วทำให้เห็นสถาปัตยกรรมบ้านเรือนต่างๆ ง่ายมาก 



จากนี้ก็เดินต่อไปอินซาดงได้เลย 

จากนั้นเราก็เดินไปไปเรื่อยๆจนไปโผล่ที่วังอะไรสักอย่าง นักท่องเที่ยวเยอะมากก เลยไม่ข้าไปดีกว่า 


จากนั้นก็เรียกได้ว่าหลง 555555  แล้วก็กลับที่พัก เพราะเหนื่อยมาก ไม่ได้นอน 

ข้าวเย็นเรากินคิมบับของ GS25 ซึ่งเยอะมากกก ราคาประมาณ 60 กว่าบาทไทย อร่อยและอิ่ม 

--วันแรกผ่านไป...แล้วก็ราตรีสวัสดิ์--














วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

5 วันก่อนการเดินทาง

หนึ่งในความฝันของใครหลายคนคือการไปเที่ยวต่างประเทศสักครั้ง ซึ่งเราคือหนึ่งในนั้น ยิ่งกว่านั้น ครั้งนี่เราเลือกที่จะเดินทางคนเดียว ด้วยความที่ได้โปรโมชั่นที่โคตรถูก ช่วงเวลาที่เหมาะ สภาพอารมณ์ที่โคตรเซ็งกับงานและชีวิต

 อีก5วัน ตัวคนเดียว ต่างบ้านเมือง ต่างภาษา ใช้ชีวิตในทีที่ไม่มีใครรู้จัก คงจะแปลกไปอีกแบบ ไม่คาดหวัง ว่างเปล่า และพร้อมเปิดรับ 

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หนังพาไป(ไหน)

เคยได้ยินชื่อรายการมานานสำหรับรายการ หนังพาไป  จำได้คร่าวๆคือพี่เขาทำหนังสั้นประกวดส่งไปชิงรางวัลตามเทศกาลหนังต่างๆ  ที่ต่างประเทศ แล้วก็ถูกเชิญไปร่วมงานด้วย จึงเป็นที่มาของรายการนี้

ซึ่งจริงๆเราไม่เคยดูจริงๆจังๆเลย เนื่อยจากมันฉายทางช่อง THAIPBS ด้วย ต้องยอมรับว่ามันทำให้น่าดูน้อยลงไปอีก

แต่ก็ยังได้ยินกระแสของรายการนี้เรื่อยๆ จำได้ว่าไปร้านหนังสือก็เห็นมีออกเป็นหนังสือด้วย


แต่พอวันนี้ได้เริ่มต้นดูอย่างจริงจังแล้วรู้สึกเลยว่าเห้ยยยยยยยยยย นี้มันรายการท่องเที่ยวแบบจริงๆ




วิธีการพูดของพี่ๆเขาที่ทั้งนิ่มนวลแต่ก็ยังมีอารมขันแทรกอยู่ ซึ่งทำให้เราที่ฟังก็ยิ้มตามไปตลอด  สำเนียงเหน่อๆ ของพี่เขา ที่ฟังดูเป็นธรรมชาติไม่แสแสร้ง  ดูแล้ว พี่ๆเขาน่ารัก มันเป็นความน่ารักแบบธรรมชาติ แบบบ้านๆที่ไม่ต้องปรุงแต่ง

การดำเนินรายการที่ไปกันแค่สองคน ถ่ายกันเอง เจอประสบการณ์จริงๆเอง ซึ่งต่างจากรายการท่องเที่ยวอื่นๆที่ยกกกองกันไปถ่าย ตั้งกล้องหน้าสถานที่ท่องเที่ยว พูดบรรยายถึงประวัติความเป็นมา เสร็จแล้วก็แพนกล้องไปรอบๆ แค่นั้น   แล้วก็การตัดต่อของรายการที่กระชับ พวกกราฟฟิกที่เราว่ามันดูน่ารักดี หรือเพลง เราว่ามันลงตัวมากๆ  ทุกอย่างมันกลายเป็นว่าเข้ากันไปหมด

พอเราได้ดูตอนแรกก็ติดใจ เลยนั่งดูอีกหลายๆตอน  เลยทำให้ชักอยากไปเที่ยวอินเดียกับจีนขึ้นมาแล้วสิละ (หลังจากที่เบื่อหน่ายกับผู้โดยสารสองชาตินี้มากแล้วก็คิดว่าคงจะไม่ไปสองประเทศนี้แน่ๆ)


ต่อไปก็คงกลายเป็นแฟนคลับของพีเขาสองคนไปแล้วละ ฮ่าๆๆ






วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ป. โทนั้น สำคัญไหม?

หลายคนจบป. ตรีแล้วก็อาจจะยังว่างๆ ใช้ชีวิต เที่ยวเล่น หรือสนใจจะเรียนต่อเลย  

เหตุผลที่จะเรียนป. โทก็คงมีประมาณ
- เรียนเก่งเป็นทุนเดิม ศึกษาต่อยอดจะไปเป็นอาจารย์ : 
1. ไม่รู้จะทำงานอะไร เรียนต่อแม่ง  
    อารมณ์ชิวๆ ที่บ้านมีเงินซัพพอร์ต เรียนต่อดีกว่า กุยังไม่อยากเจอโลกที่โหดร้าย ขอสติลความเป็นนักศึกษาไว้ก่อน

2. เรียนเพราะอยากได้วุฒ เพื่อเพิ่มฐานเงินเดือน : อันนี้อาจจะเป็นเหตุผลของใครหลายๆคน ที่เริ่มทำงานแล้ว เรียนไปทำงานไป ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งเงินเดือนเพิ่ม โอ้โห คุ้มมากๆ เผลอๆเจอสังคมใหม่ๆที่ทำงานอีก เยี่ยม 

3. เรียนเพื่อหลีกหนีวุฒป. ตรี:  อันนี้เป็นเหตุผลส่วนตัวล้วนๆ 55 คือเพราะเราจบเอกภาษาอังกฤษมาแล้วรู้สึกว่างานที่ต้องการสายนี้เราไม่โอเคกับมัน เราจึงพยายามหาเรียนต่อ ป. โท เพื่อจะได้อีกวุฒการศึกษานึง จะได้แตกแชนงทำงานในสาขาอื่นๆได้ 

วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2558

Singapore สิงคโปร์ จะจ่ายแพงไหมทำไม????

มอเน่งงงงงง ตอนเขียนนี้คือห้าโมงเย็น 555

วันนี้จะมาบอกเล่าเรื่องราวการผจญภัยเล็กๆในประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนก็คือสิงคโปร์


ใครที่ยังไม่เคยไปต่างประเทศหรือคิดจะลองเที่ยวคนเดียวสักครั้งเนี้ยยย ประเทศนี้ ต้องอยู่ในหัวบ้างละ

จะไปชิวสิงคโปร์ จะจ่ายแพงทำไมละ อยากไปก็ไปเลย เอาเท่าที่งบพอ เอาตามกำลังทรัพย์ส่วนบุคคล มีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น รวยก็ใช้แบบคนรวย ถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ลางานทีแม่งได้แค่สามวันก็เข้าใจตรงกันนะ 55555

วันนี้เลยกะมาเขียนในเรื่องราคาการเที่ยวมากกว่า จะได้มองภาพออกง่ายๆว่าใช้เงินเท่าไหร่


จะมีรูปนิดหน่อยบวกค่าใช้ค่ายในทริปจะทำให้เห็นคร่าวๆว่าไปครั้งนึงเนี้ยย น่าจะเสียกี่บาททท แต่ก็พล่ามไร้สาระก่อนนะ อยากเล่าว่าไปเจอทำอะไรบ้าง 55555 ถ้าไม่อยากอ่าน อ่านรีวิวคนอื่นมาเยอะแล้ว ก็เลื่อนไปบรรทัดสุดท้ายเลยก็ได้ เนื้อๆเน้นๆ 

ก่อนไปเราแลกตังไป300เหรียญ (เหลือกลับมานะ) 555

เริ่มที่ค่าตั๋วบวกที่พัก (ไม่รวมกับpocket money)

คิดการใหญ่ใจต้องนิ่ง หนักแน่น มั่นคง บางคนอยากไปเที่ยวจะตายห่า พอเห็นค่าตั๋วโอ้ยแพงจังรอก่อนละกัน รอก่อนๆพ่องงง ชาติหน้าจะได้ไปไหมม 555 เพราะฉะนั้นเห็นสมควรแก่เวลาละก็จองเถอะ จะรอตั๋วเครื่องบินเหลือ 50บาทหรอมมมมม (สำหรับเราไป jetstar ) รวมเวลาบินก็ประมาณ 2 ชั่วโมงกับอีก5นาที ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ขึ้นเครื่องก็หลับเลย 

ส่วนที่พักก็เอาตามจริต ถ้าโรงแรมอย่างต่ำคืนละ 1800++ ซึ่งเรื่องการเดินทางน้านนน ไม่ต้องหวง สิงคโปการคมนาคมสะดวกมากกกก รถไฟฟ้าถึงหมด เดินได้ไม่ไกลมาก หรือรถเมก็ดี ได้นั่งชมเมือง แล้วคนไม่แน่นแบบกรุงเทพด้วย ไม่ต้องกลัวหลง เพระเค้ามีแผนที่บอกทุกป้าย อย่าไปกลัวววว

อย่าลืมละ พอถึงสนามบินก่อนขึ้นรถไฟฟ้าก็ซื้อบัตรรถไฟฟ้าซะนะ 5เหรียญเป็นค่าบัตรไม่ได้คืน บวกอีก 10เหรียญเติมเงิน ใช้ได้หมด ทั้งรถไฟและรถเม เซเว่นก็ได้นะเอออ 



ส่วนของเราเราเลือกพักแบบ hostel คือแบบหอพักห้องละ4-6เตียง ใช้ห้องน้ำรวม ซึ่งเหมาะกะพวกกินง่ายนอนง่ายขี้ง่าย 5555 ก็จะได้ประสบการใหม่ๆ เพื่อนใหม่ที่อยู่ห้องเดียวกัน แต่ส่วนมากพวกนี้ไม่ค่อยอยู่ห้องกันหรอก ก็เที่ยวๆๆ กลับมาก็ดึกนอนเลย เย๊อะะ ถ้าเป็นขาลุย แนะนำให้ลอง 555 



ส่วนทีาเราพักชื่อ 5footwayin hostel in Chinatown ก็คืออยู่ใจกลางไชน่าทาวเลยละ ออกจากสถานีรถไฟมา เลี้ยวขวาถึงเลย มีหลายชนชาติมากแม้กระทั่งพนักงาน 555 ของเรานอนห้องรวมไม่แยกเพศ ทุกคนก็มาคนเดียว ก็ดี ต่างคนต่างเกรงใจกัน พนักงานดีมาก ลองไปหาข้อมูลในเว็บเค้าได้ เขามีหลายสาขา เลือกเอาว่าถูกชะตาที่ไหนนะ



อ๋อ คืนละประมาณ600นะ เราจองผ่าน expedia ละ ถ้าไป walk inจะแพงกว่านี้นิสนึงประมาณสองร้อย แต่ก็ไปได้ เราเลือกที่นี้เพราะในรูปห้องเป็นสีขาวดูสะอาด ของจริงก็สะอาดนะ 5555 เตียงนุ่มด้วย ไม่อยากลุกเลย 



วันแรก 




เค้าให้เช็คอินตอนบ่ายยสาม ตอนนั้น1430 นี้ไม่ไหว หิวมากกกก ขอไปหาไรกิน มีแมคอยู่มุมถนนมาถึงนี้เมิงจะกินแมคเหรอออ 555 กะจะไปหาข้าวมันไก่เจ้าดังที่ maxwell โอ้ย เถียงกะเพื่อนดูแผนที่ไม่เป็น หิวก็หิว จังหวะนั้นเจอศูนย์อาหาร เลยจัดแก้ขัดไปก่อน ข้าวมันไก่ไว้มื้อหลัง 



นี้เลยสั่งอะไรสักอย่าง ของเค้าละจำชื่อไม่ได้อารมประมาณก๋วยเตี๋ยว ราคาประมาณ5 $ 
 รสชาติจะเหมือนแกงกระทิใส่เส้นราเมน แต่เต้าหู้อร่อยดี 


แล้วของเพื่อนเป็นเซต 7$ บวกโค้ก 1.5$  ประมาณหมูตุ๋นกระดูกอ่อน


จบไป1มื้อ



เมื่ออิ่มท้อง จากนั้นเลยกลับไปเช็คอิน จ่ายค่ามัดจำล๊อคเกอร์ 20$ เดี๋ยวได้คืนกับเช่าผ้าเช็ดตัว 2$ อ๋อ อเดปเตอกับไดร์เป่าผมเขามีให้นะ ไม่ต้องขนไป 55555 

จากนั้น แม่งไปไหนดี เพราะมาแบบชิว สโลไลฟ์มากๆ  โอเค ไปมารีน่าเบยกัน ถ่ารูปปกะเมอไลอ้อน เดี๋ยวเพื่อนว่าโกหก ไหนมึงไปสิงคโปไม่เหนมีรูปเมอไลอ้อนเลย 5555  กางแผนที่ที่ได้มาฟรีดูก็เลยไปลงสถานีไรสักอย่างลืม 5555 แต่ไปโผล่ที่คลากคีย์ 



บรรยากาศดี สวย บ้านเมืองสะอาด มีแต่คนทำงาน เต็มไปหมด ศิวิไลเซชั่นมั่กๆ  สูบบุหรี่กันเยอะด้วย ทั้งญช แต่เค้าจะยืนสูบกันที่เดียวนะ คือตรงถังขยะ ยืนอ้อมถังขยะนั้นละ ไม่เพ่นพ่านแบบไทย 5555 เป็นระเบียบดี


ช่วงที่ไปคือเดือนมกรา เพื่อนชาวสิงบอกว่า ธันวา-มกราเนี้ย ฝนตกทู๊กกกกวันนน 555 bring your umbrella!  อันนี้ก็รุ้ตอนจะมาเนี้ยละ ดีอย่างคือช่วงที่ไปมันลบอกว่าช่วงนี้อากาศดีสุดละไม่ร้อนมาก เดินเล่นได้ ไม่เหนื่อย ไม่เสียเหงื่อ ถ้าไม่นับฝนตก 5555 


ก็เดินไปเรื่อยๆ เลียบแม่น้ำจากคล้ากคีย ดูสถาปัตยกรรมบ้านเค้าก็สวย เป็นระเบียบ เหมือนเล่นเกมส์เดอะซิมเลย มีทั้งแบบย้อนยุคและตึกสมัยใหม่ ลงตัวมากๆ มองเพลินไม่เบื่อ  

เดินไปเรื่อยๆเจอสตาบัคแวะซะหน่อย อยู่ไทยไม่เคยกินหรอก มากินที่นี้เอา อยู่เมืองนอกชีวิตมันต้องป๊อบ 5555  ซึ้งสตาบัคที่นี้เยอะมากก อารมเซเว่นบ้านเรา เดินไปไหนก็เจอ โอ้โห จะแดกกาแฟอัลไลกันหนักหนาาา ราคาประมาณ 6.5



พอมองไปขวามือก็จะเจอมารีน่าเบย โอ้ววว ริมน้ำ อากาศดี ลมพัดตลอด เลยนั่งแช่ดูผู้คนเดินไปเดินมาละ จนถึงสองทุ่มกว่า เพราะรอดูการแสดงไฟแสงสีเสียง  ดูเสร็จเลยเดินไปgarden by the bay ต่อ ขุ่นพระะะะะะ ค่อนข้างไกล + หิว 555 เลยรีบๆเดินผ่านๆไปดูละก็กลับ จริงๆก่อนข้ามสะพานมาที่สวนจะมีศูนย์อาหารแต่เราขี้เกียจแล้วว เลยเดินกลับไปฝากท้องที่ไชน่าทาวเหมือนเดิม

ข้อดีของสิงคโปร์อีกอย่างคือห้องน้ำมีทุกที่จริงๆ แปบๆเห็นป้ายห้องน้ำ แปบๆเห็นห้องน้ำ คือปวดขี้ก็ไม่ต้องอั้น สะอาดด้วย ประเทศเขาดีมากกจริงๆ 55555 

ขากลับมาแปบเดียวเพราะการเดินทางสะดวก หิวมาก น่ากินทุกอย่าง คนขายมันก็เฮลโล่ๆ เจอร้านขาย carrot cake เขาว่าเป็นอาหารท้องถิ่นเขาละ ก็เลยจัด รสชาติอารมแบบเอาแป้งต๊อกของเกาแบบนิ่มๆมาผัดซีอิ้วกับไข่ไรงี้ 5555 จานละ 4เหรียญ


แล้วก็สั่งหอยทอด รสชาติอร่อยตามแบบฉบับคนไทย ราคาโดนไป5เหรียญ แต่หอยใหญ่ ถือว่าคุ้ม โออิชิ

จัดไปอีกอย่าง คือมาทาบะ โรตีมะตะบะนั้นละ 555 สั่งไก่ไป หร่อยอย่างแร๊งงง  จิ้มกะน้ำแกงนะ ไม่ใช่้่แตงกวาแช่น้ำส้มสายชูแบบบ้านเรา 55555 อร่อยดีแป้งหอมม นุ่มมม ราคา5เหรียญ

เกือบลื้มมม อีกอย่างงงง น้ำเปล่าที่นี้แพงง ขวดละ1.5หรียญ โค้กก็ราคาเท่ากัน เลือกเอาอันไหนคุ้มกว่า 5555555

จากนั้นก็เหนื่อย กลับที่พักไปนอนดีกว่า เพราะพรุ่งนี้จะไปยูนิเวอเซลแต่เช้า

วันที่2

ตื่นมา พอหนึ่งคนตื่น ทุกคนในห้องก็ตื่น 55555 อาบน้ำไรเรียบร้อย จริงๆเขามีห้องน้ำสำหรับผู้หญิงเฉพาะนะ แต่เราไม่ได้ใช้ เราไปใช้ห้องของผู้ชายแทน เพราะกลับกลายเป็นว่าสะอาดกว่า เพราะว่าไม่มีคนใช้ พวกนี้ไม่ค่อยอาบน้ำ 5555  เสร็จปุ๊บเลยเดินแวะไปที่เทอเรส 


 อาหารเช้าฟรีก็จะมี ขนมปังปิ้ง แยม นมสด ซีเรียล แล้วก็ผลไม้ นี้เลยหยิบแอปเปิ้ลมาลูกนึง แล้วก็ไปกินร้าน คายาโทสที่เดินเลยไปอีกค่อนข้างไกลเลยทีเดียว 5555




มาถึงร้านก็เจอทั้งคนไทยและคนทำงาน เดินเข้าร้าน สบตากับอาแป๊ะ แป๊ะถาม ไทย? แล้วแป๊ะก็รัวไทยใส่  เลยสั่งไปคนละชุดกับเพื่อน คือชาเย็น kaya toast n haft boil eggs แต่เพื่อนสั่งเป็น freace toast 

รสชาติ อร่อยไหมไม่รู้ แต่เราชอบนะ เลยสั่งเพิ่ม555 ตอนแรกก็แบบ kaya toast  คายาๆโทส ไรวะแม่ง พูดไปพูดมา อ้ออออ สังขยา 555555 แต่เขาจะใส่เนยด้วย นัวมาก กินกับไข่ลวกแล้วก็ชาหรือกาแฟนะ โหหห perfact!!

รวมมื้อนี้ประมาณคนละ 6 เหรียญ 

จากนั้นปวดท้องมากก อย่างที่บอก สิงคโปร์มีห้องน้ำทุกที่ 555 เลยวางมัดจำไปหนึ่งดอกละก็ออกเดินทางไปยูนิเวอเซล 

ก็จะไม่พูดไรมาก เพราะเดี๋ยวสปอย 55555  ฝนตกตอนบ่าย เซ็งเว่อ แต่ดีเล่นจนครบไปตั้งแต่เช้าแล้ว ของฝากไม่ได้ซื้อ แพง 55 แต่ซื้อกระติกน้ำ bubblebee มา 24 เหรียญ 



ละก็กินข้าวกลางวันที่นั้น ไม่มีไรน่ากินเลย เห็นคนข้างหน้าสั่ง ชุด vetgetable combo เลยสั่งมั่ง  แม่งงงง กากกกกกกก555 หักส่วนลดจากวอชเชอเหลือ6เหรียญ เลยซื้อไก่บาบีคิวมากินเพิ่ม อร่อยดี 6เหรียญ9ชิ้น 


ฝนตกไม่มีท่าวะจะหยุด เลยกลับไปนอนกลางวันที่ห้องตอนห้าโมงเย็น ฝนตกตลอด หลับสบาย ตื่นมาอีกทีทุ่มนึง มันนนนนก็ยังไม่หยุดตก 55555


ตื่นปุ๊บก็หิวเลย ครั้งนี้มีสตินั่งดูแผนที่จะไปกินข้าวมันไก่ให้ได้  เลยเพิ่งฉลาด ใช้google map สิคะคุณลูกขาาา 5555 เลยเดินเลี้ยวขวาผ่านวัดอินเดียและวัดไทย เจอเลยอยู่ซ้ายมือ


เดินเข้าไปก็อารมศูนย์อาหารคอมเพลกมข 555 แต่ของกินเยอะ น่ากินทู๊กอย่างงง แต่เลือกข้าวมันไก่ไป ราคา6 เหรียญ 


ในชุดจะมีผักกวางตุ้งผัดน้ำมันด้วย รสชาติเหรอ กินเข้าไปคำแรกนี้คิดถึงบ้านเลย ฝีมือพ่อชัดๆ  555555555 ข้าวก็แบบไทยนี้ละแต่น้ำจิ้มไม่ใช่แบบเต้าเจี้ยวนะ เป็นพริกส้มกะซอสหวาน 


ขณะกินอยู่มองซ้ายขวาเจอร้านนหมูสเต๊ะ ก็เลยจัดมา 10ไม้ ราคา 6เหรียญ รถชาติแบบไทยๆ กินกะน้ำจิ้มข้นๆ ไม่มีน้ำส้มสายชูแตงกวานะ 


กินๆอยู่อีกมองหาเครื่องดื่ม คือชอบอะไรแปลกๆ เล็งแล้วเจอ Mango soybean milk นี้แม่งบ้าแล้วววว ใครกินมะม่วงกับน้ำเต้าหู้ปั่น 555555 
เลยจัดมา1แก้ว อิพ่ออิแม่ อร่อยมากกกกก มะม่วงเรียลสุดๆ มีรสชาติน้ำเต้าหู้นิดๆ recommended!! ไอ้นี้แหละ ที่เมืองไทยไม่มี ควรจะลอง 55555



อ๋อ นอกจากนั้นมี papaya soy bean milk ด้วยนะ 555 ราคาแก้วละ 2เหรียญ ส่วนเพื่อนเราสั่ง avocado milk w/ avocado อาหย่อยยย เหมือนกัน 

จากนั้นนั่งก็ให้อาหารย่อย ฝนก็ยังไม่หยุด เลยถามว่าเขาว่ามีที่ไหนให้ไปไหมตอนกลางคืน พวก night market ไรงี้ เขาบอกไม่มี สิงคโปไม่มีแบบนี้ แต่ไปเดินเล่นแถวคลากคีก็ได้ แต่ฝนตกไง ลาก่อยยย กับห้องละกัน

แต่เดี๋ยวก่อนน จังหวะนั้นเจอร้านขนม เขียนชื่อว่าลาวๆสักอย่าง คง้ป็นชื่อจีน เป็นถ้วยๆเลยลอง ขุ่นพระะะะ อร่อยอีกแล้วววววว 5555  มันคือน้ำเต้าหู้ที่ทำเป็นวุ้น อร่อยมากกกกก1.5 เหรียญ

ชอบสิงคโปร์อย่างนึงคือเครื่องดื่มไรงี้ของเขาไม่หวานเลย แบบเรียลมาก ได้รสชาติของมันจริงๆ ไม่เหมือนไทย ขนาดบอกไม่หวานแล้วก็ยังใส่น้ำตาลสามช้อน ชั้นไม่เข้าใจจจจจจจจจจ

จากนั้นเดินตากฝนกลับห้อง ไม่มีไรมากก นั่งเล่นคอมมม 55555 จากนั้นฝนซา เลยไปเดินเล่นร้านขายของแถวนั้น เจอน้ำอันนึง เขียนว่า อัลมอลวอเตอ อุ๊ยยยยย อร่อยแน่เลย   ราคา 2 เหรียญเรากินไปสองอึกก็โยนทิ้งเลย 55555

จากนั้นก็กลับไปนอน ว้าววว มีรูมเมทอใหม่อีกล๊าวววว ก็เลยเซไฮไป ละก็กลับสนิท 

วันที่3 

วันนี้ตื่นสายหน่อย จะกลับแล้ว  ไม่รู้จะไปไหน ตื่นมาก็หิว เลยไปกินอาหารเช้าหน้าปากซอย food centre ของ china town สั่งเหมือนเดิม คายาโทสสส 5555 ส่วนเพื่อนสั่งบะกูเต๋ ราคารวมคนละ 6เหรียญ 


บรรยากาศดี ฝนตกแต่เช้าเลย 5555 นั่งกินไป มองดูฝนตกพร่ำๆไป โอ้ยย ชีวิตดี จังหวะนั้นไม่อยากกลับมาทำงานแล้วววว


พอกินเสร็จ ก็เลยไป orchard กัน ไม่มีไรมาก ก็แหล่งช๊อปปิ้งไฮโซ ไม่มีเงินซื้อหรอก 5555 เดินไปเดินมาแถวนั้น บ่ายสามกว่า เลยตัดสินใจไป mustafa แถว little india เพราะ เดี๋ยวเพื่อนสิงนัดกินข้าวแถวนั้นตอนหกโมง

พอไปถึง ขุ่นพระะะะ little india สมชื่อ 5555 มีแต่แขกๆๆ เจ้าของบ้านไหนไม่รู้ ไอ้ห้าง mustafa เนี้ย เป็นห้างสามชั้น อารม super market มีของทุกอย่างตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ นี้เลยตัดสินใจซื้อของฝากพวกช๊อกโกแลตไปฝากเพื่อนๆ หมดไปก็เยอะอยู่ 5555 

จะบอกว่า คิทแคทชาเขียวอะ ถูกนะ ราคา4.5 เอง กับอันนี้ ใครที่ชอบมิ้นรับรองติดใจ เสียดายที่เราซื้อมากล่องเดียววว เสียใจจจจจจจ

จากนั้นพาเพื่อนเดินเลยไปอีกตึกนึงดูน้ำหอม เยอะอยู่ แต่เราซื้อไม่เป็น คนอินเดียเยอะ ซื้อของทีเยอะด้วย เป็นกระเป๋าๆ

เกือบเวลานัด เพื่อนบอกเปลี่ยนนะ ไม่ไปลิเติ้ลอินเดียละ ไปที่อื่น พวกนางพาไปกินราเมน อร่อยดีๆ ราคาชามละ 10 เหรียญ กับชาเขียวโคล่าอร่อยมากกก 5555 ขวดละ2 เหรียญ  ที่สำคัญ เขาเลี้ยงอีกแล้วววว 55

จากนั้นก็ต่อด้วยของหวาน เป็นไอติมชาเขียวรสชาติคนไทยแต่ให้เครื่องเยอะกว่า ราคา 7 เหรียญ อร่อยเด 

นั่งกินไปคุยเพลินๆเอ้าตายห่า เดี๋ยวไปไม่สนามบินไม่ทัน ตอนนั้นทุ่มครึ่ง กลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่พัก บวก แวะซื้อของฝากตรงไชน่าทาวกลับไทย ถึงสนามบินก็สามทุ่มพอดี

พอถึงสนามบินแสนไฮโซติดอันดับโลกชางงีแอพอรฺต เงินเหลือ60กว่าเหรียญ กะว่าจะซื้อของให้หมด เพราะไม่อยากแลกคืน มันขาดทุน 55555 ถามเพื่อนมีใครจะฝากซื้อไรไหม ไม่มีสักคน ฮ่าๆๆ  สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้ออะไร กลับถึงไทยเรียบบร้อย ลาป่วยอีกหนึ่งวัน เพราะเหนื่อย ขี้เกียจไปทำงาน 55555

สรุป 


1. ค่ารถไฟ
สามวัน จริงๆรวมแล้วเราเติมเงินไป20 เหลือกกลับมา1.6

2. ค่าอาหาร

ถ้ากินไม่เยอะละก็( ในที่นี้คือกินหลายอย่าง)  เพราะอาหารมันก็เป็นอาหารจานเดียวอยู่แล้ว ราคามื้อนึงอย่างหรูก็ไม่เกิน10 เหรียญ วันนึงก็เผื่อไว้ 30เหรียญ

วันนึง บอกเลยใช้ไม่เกิน50 เหรียญก็เที่ยวได้สบายๆแล้วละ บางคนใช้น้อยกว่านั้นอีกนะ ถ้ากินข้าวเช้าของที่พัก

สรุปรอบสุดท้าย5555 

แค่มีพ๊อกเก็ตมันนี่ วันละ 50 เหรียญ คุณก็เที่ยวสิงคโปร์ได้สบายๆแล้วละ!!! เจอกันใหม่สิงคโปรรรรรร  xia xia 













วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

ใช้เงินเดือนอย่างไรให้พอดี

หลายคนคงต้องเคยบ่นว่า แม่ง เงินเดือนไม่พอใช้

ทำไมไม่พอใช้สักเดือน เงินเก็บก็ไม่ค่อยจะมี ทำงานมาเป็นปีๆเงินเก็บยังไม่ไปถึงไหน

เนื่องจากวันนี้เพื่อนที่เป็นแอร์แม่งบ่นว่าเงินเดือนไม่พอใช้ ทั้งๆที่มากกว่าเราตั้งสองเท่า!!

(นี้ก็ไม่ได้ว่าใช้พอนะ แต่รู้สึกถ้าเงินเดือนขนาดมึงไม่พอ แล้วคนที่เขาเงินเดือนน้อยกว้าขั้นต่ำ15000 เขาก็คงอยู่ไม่ได้แล้วมั้ง)

เราว่าหลายคนรู้คำตอบและวิธีการใช้เงินอยู่แล้วแหละแต่การลงมือทำนี้สิยากสุด

บางคนหาอาชีพเสริม ทำโอที บ้างบลาๆก็ว่ากันไป

วันนี้เราเลยเขียนสิ่งที่เราคิดเผื่อจะได้ประยุคใช้ได้บ้าง

1. ค่าเข้าสังคม
 
เราว่านี้คือประเด็นหลักของคนทุกยุคทุกสมัย ค่าเข้าสังคมคืออะไร ก็พวกกินข้าวกินเหล้า ช๊อปปิ้งดูหนังกับเพื่อนหรือแฟน

เดือนๆนึงเรามักจะเสียกับค่านี้ไปมากกว่า40% เลยทีเดียว ยิ่งถ้าเป็นพวก เหงา ขาดเพื่อนไม่ได้ ชั้นมีสังคม เพื่อนเยอะ

นี้ตัวดีเลย เพราะจะไปมีทติ้งกันที จะไปร้านก๋วยเตี๋ยวข้าวถนนมันก็ไม่ใช่ มันก็ต้องเป็นร้านชิคๆ แอเย็นสบาย เพลงเบาๆ

นั่งคุยกันเรื่องนั้นโน้นนี้ สั่งอาหารอร่อยๆมากินกัน นี้ก็คือความสุขอีกแบบของคนเรา

เราก็ชอบนะ แต่พอเพื่อนชวนเราก็คิดว่าแม่งถ้ากูไป เงินเดือนนี้กุก็หมดไปกับแบบนี้อีกละ ก็ไม่ได้มีทติ้งไรหรอก ไปนั่งดูแม่งกดโทสับทั้งนั้น ไม่คุยกับกุสักคน 55555  งั้นขอนานๆทีแล้วกัน เผื่อจะได้มีเรื่องคุยเยอะๆ 55555

แต่ถ้ามาคำนวนค่าเข้าสังคมพวกนี้ คนที่ไปบ่อยๆละก็

จัดได้ว่ากินส่วนแบ่งของเงินเดือนไปเยอะทีเดียว 55555

2. ค่าของใช้ส่วนตัว

ข้อนี้คือมันจำเป็นจริงๆก็เข้าใจ ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงแล้วละก็ ทั้งเครื่องสำอางแล้วก็เสื้อผ้าเดือนๆนึงต้องมีหมดค่าคสอ.ไม่ต่ำกว่าสองพัน

นี้ยังไม่รวมจิบปาถะ ที่ไปเดินห้าง เดินตลาดนัด เจอเสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้า อุ๊ย สวย อยากได้ บางทีก็ฉุดคิดนิดนึงถึงผลประโยชน์ระยะยาวของสินค้าชิ้นนั้นๆ แต่ถ้าใครไม่ไหวจริงๆก็ซื้อไปเถอะ มันคือความสุข แต่อย่ามาทุกทีหลังน 555555


ที่ไล่ไปนี้คือค่าใช้จ่ายที่เราคิดว่ามัน"ค่อนข้าง" หลีกเลี่ยงและลดได้ในแต่ละเดือน ซึ่งจริงๆแล้วการใช้เยอะเราก็ต้องดูปัจจัยหลายๆอย่างเช่น กลุ่มสังคมที่เราอยู่ ด้วย  ถ้าแบบเพื่อนธรรมดาไม่หวือหวา แดกข้าวตามสั่งไเ้ กินช้าวตลาดนัด ไม่อันนั้นก็จะโอเค ค่าใช้จ่ายก็จะควบคุมได้ เ

ถ้าไลฟ์สไตล์คุณดันสูง ติดหรู ต้องกินสตาบัคแล้วถ่ายรูปมุมสูงคู่กับกระเป๋าตังเบรน หรือกินข้าวมื้อละสองสามร้อย แต่เงินเดือนหมื่นสองหมื่น ก็มีสองทางง่ายๆคือ ยอมปรับตัวหรือหางานใหม่ที่เงินเยอะกว่า5555

สุดท้ายแล้วอยากลอกว่า จริงๆถ้าเราวางแผนให้ดี คือทุกการใช้เงินมันต้องมีการวางแผน เพราะสิ่งที่เราเสียไปจาดการทำงานแลกเงินมาก็คือเวลาและสุขภาพของเราเอง นั้นแหละ



วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

Random

เราไม่เคยอิจฉาคนที่มีของแพงๆรถหรูๆใช้นะ เราอิจฉาคนที่ได้ไปเที่ยวรอบโลกมากกว่า